ปัจจุบัน ด้วยความนิยมของการซื้อ-ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าในประเทศต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ เป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ SME ในยุคดิจิทัล ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่อยากขายของต่างประเทศ แต่ไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ในด้านนี้มาก่อน อาจไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใด มีข้อสำคัญอะไรที่ควรทราบ บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนเริ่มต้นส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ตั้งแต่การวิเคราะห์ตลาด เอกสารที่จำเป็นในการขนส่ง ต้นทุนที่จำเป็น ขั้นตอนการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ และการเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมในการนำสินค้าไปยังประเทศปลายทาง
ทำความเข้าใจพื้นฐานการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
ก่อนจะเริ่มส่งออกสินค้าหรือส่งของไปต่างประเทศ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาตลาดเป้าหมาย กฎระเบียบการส่งออก และข้อกำหนดทางศุลกากรของแต่ละประเทศ เช่น การส่งของไปฮ่องกงจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างจากการส่งของไปอเมริกา รวมถึงข้อกำหนดด้านกฎหมาย และรูปแบบการขนส่งต่างๆ ที่หากขาดความเข้าใจ อาจส่งผลให้กระบวนการขนส่งล่าช้า และต้นทุนบานปลายกว่าที่กำหนดไว้
สินค้าส่งออกจากประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทใด
ประเทศไทยมีสินค้าส่งออกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทางการเกษตร สินค้าอุปโภค หรือสินค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีตัวอย่างสินค้ายอดนิยม ดังนี้
-
น้ำมันสำเร็จรูป: ถือเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศ โดยมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี
-
เครื่องคอมพิวเตอร์: ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เสริมที่ถูกส่งออกไปทั่วโลก
-
อัญมณีและเครื่องประดับ: เนื่องจากไทยขึ้นชื่อเรื่องความประณีตและคุณภาพระดับพรีเมียม โดยเฉพาะสินค้าแฮนด์เมดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของไทย
-
ข้าว: โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสินค้าไปต่างประเทศที่สร้างชื่อมาอย่างยาวนาน ซึ่งได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและรสชาติในตลาดโลก
-
ผลไม้: เช่น ทุเรียน มังคุด และมะม่วง รวมถึงผลไม้แปรรูปชนิดต่างๆ ล้วนเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ
-
ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้: เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้และของตกแต่งบ้านลวดลายไทยที่มีความประณีต สวยงาม ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมและผู้บริโภคทั่วไป
-
เครื่องหอม: เช่น น้ำมันหอมระเหย ยาดม ยาหม่อง ถือเป็นหนึ่งในสินค้าของฝากยอดนิยม ทำให้ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ
วิธีส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่
การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ คือ การนำสิ่งของใดๆ ที่อยู่ภายในประเทศไทยออกไปยังปลายทางนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟ ทางเรือ เครื่องบิน รวมไปถึงการส่งไปรษณีย์ ซึ่งล้วนมีขั้นตอนหลากหลายและมีความสำคัญต่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในต่างแดน ดังนั้นมาดูกันว่า ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นอย่างไร
1. วิเคราะห์ตลาดและศึกษากลุ่มเป้าหมาย
สำหรับผู้ประกอบการที่อยากทําธุรกิจส่งออก เริ่มต้นอย่างไร ขั้นตอนแรกของการทำธุรกิจส่งออกได้แก่ การวิเคราะห์ตลาด ศึกษาความต้องการของผู้บริโภค และพฤติกรรมการซื้อในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการส่งของไปจีนที่เป็นประเทศที่มีการค้าขายกับไทยเป็นอันดับต้นๆ หรือประเทศอื่นๆ เพราะถึงแม้จะส่งสินค้าไปยังประเทศนั้นๆ ได้ แต่หากทำการตลาดผิดพลาด ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าอื่นๆ ในตลาดได้ อาจส่งผลให้ธุรกิจขาดทุนได้
โดยผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจว่า แต่ละตลาดมีความต้องการที่แตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ได้การตอบรับดีในประเทศจีน อาจไม่เป็นที่นิยมในอเมริกา อีกทั้งผู้ประกอบการควรวิเคราะห์คู่แข่งในตลาด กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ไปจนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของราคา และช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมในแต่ละประเทศ เพื่อหาจุดแข็งที่สามารถทำให้สินค้าของเราโดดเด่น และประสบความสำเร็จ
2. ศึกษาช่องทางการจำหน่ายสินค้า
หลายคนอาจคุ้นเคยกับช่องทางการขายสินค้าออนไลน์อย่าง Shopee และ Lazada ทั้งนี้แต่ละประเทศก็มีแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยม และรองรับการค้าระหว่างประเทศ เช่น Amazon, Alibaba หรือ Temu นอกจากนี้ ควรเลือกบริษัทขนส่งต่างประเทศที่มีบริการในประเทศเป้าหมายของธุรกิจอย่าง TNT สำหรับส่งของไปสิงคโปร์ หรือ DPD หากต้องการส่งของไปเยอรมัน เป็นต้น
3. เตรียมความพร้อมด้านเอกสาร
ในการนำสินค้าส่งออกไปต่างประเทศ ธุรกิจจำเป็นต้องมีเอกสารที่ถูกต้องครบถ้วน เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกไปต้องเข้าสู่พิธีการศุลกากร เพื่อให้สามารถส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย
3.1 ตัวอย่างเอกสารที่จำเป็นในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
-
Invoice - ใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารแสดงรายการสินค้าสำหรับการส่งออกไปต่างประเทศ ประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่สินค้า จำนวน มูลค่าสินค้า ชื่อผู้รับปลายทาง ผู้ส่งสินค้า ฯลฯ
-
Certificate of Analysis (CoA) - ใบรับรองมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สินค้า
-
Certificate of Origin (CO) - หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ที่กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการออกให้ เพื่อระบุว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย
-
Export Entry Form - ใบขนส่งสินค้าขาออก
-
License - หนังสืออนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการส่งออก สำหรับสินค้าบางประเภทที่ต้องขออนุญาตก่อนส่งออก ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะเป็นผู้ออกเอกสาร
นอกจากตัวอย่างข้างต้น อาจมีเอกสารอื่นๆ ที่ต้องแนบเพิ่มเติมในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและการขนส่ง ซึ่งการจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการส่งออกเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันขนส่งล่าช้า และหลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดที่ด่านศุลกากร ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ
4. วางแผนบริหารจัดการต้นทุน
นอกเหนือจากต้นทุนในการผลิตสินค้าแล้ว การคำนวณต้นทุนอื่นๆ ร่วมด้วยนั้นเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ที่อยากทำธุรกิจส่งออก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการส่งออก มีอะไรบ้าง ที่มักตามมา อาทิ ค่าส่งของไปต่างประเทศ ค่าประกันภัยสินค้า ค่าภาษี และค่าธรรมเนียมศุลกากร ผู้ประกอบการจึงควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก่อนเริ่มการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ โดยอาจเป็นการปรับราคาสินค้าให้ครอบคลุมต้นทุนโดยรวม
4.1 ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการส่งออก มีอะไรบ้าง
-
ค่าขนส่งสินค้า: ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทาง ขึ้นอยู่กับรูปแบบการขนส่ง บริษัทขอส่งหรือชิปปิ้งที่ใช้บริการ และระยะเวลาในการขนส่ง
-
ค่าประกันภัยสินค้า: ค่าประกันภัยคุ้มครองสินค้าหากเกิดความเสียหาย หรือสูญหายระหว่างขนส่ง
-
ค่าธรรมเนียมศุลกากร: ค่าใช้จ่ายในการดําเนินพิธีการศุลกากรทั้งขาเข้าและขาออก
-
ค่าภาษีนำเข้า-ส่งออก: ค่าภาษีของการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย และการนำเข้าของประเทศปลายทาง
-
ค่าดำเนินการเอกสาร: ค่าดำเนินการในการขอเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ
-
ค่าบรรจุหีบห่อ: เช่น ค่ากล่องบรรจุสินค้า กล่องไม้ วัสดุกันกระแทก
-
ค่าจัดเก็บสินค้าที่คลังสินค้า: ค่าใช้จ่ายหากมีการจัดเก็บที่คลังสินค้าระหว่างการขนส่ง
5. ศึกษาข้อกฎหมายและภาษีนำเข้าของประเทศปลายทาง
การทำความเข้าใจกฎหมายและข้อบังคับของประเทศปลายทางเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ละประเทศมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้า บางประเทศอาจมีข้อห้ามเข้มงวดสำหรับสินค้าประเภทอาหาร ยา หรือสินค้าอื่นๆ ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศจึงต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้อย่างเคร่งครัด รวมถึงภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางที่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากบางประเทศอาจมีการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าจากประเทศไทยที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ หรือบางประเทศอาจใช้ประโยชน์จากข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น FTA (Free Trade Area) ในการยกเว้นภาษีนำเข้าและส่งออก เป็นต้น
5.1 ตัวอย่างสินค้าต้องห้ามในการนำเข้า
-
สิ่งเสพติดและสารต้องห้าม
-
สินค้าอาหารสด เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น สหรัฐอเมริกาห้ามนำเข้าหมูหยอง หมูแผ่น
-
วัตถุอันตรายและสารเคมี เช่น สารพิษ วัตถุทางชีวภาพที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค
-
สัตว์เลี้ยง สิ่งมีชีวิต พืชและเมล็ดพันธุ์ รวมถึงวัสดุปลูก เช่น ดิน ปุ๋ย
-
สินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ต้องได้รับอนุญาตหรือมีมาตรฐานต่างๆ เช่น CE, FCC, หรือ JIS
5.2 ตัวอย่างข้อกำหนดเฉพาะตามประเทศ
-
สหภาพยุโรป: สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จะวางจำหน่ายในประเทศจะต้องมีเครื่องหมาย CE marking ที่แสดงว่าสินค้านั้นๆ เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของสหภาพยุโรป
-
สหรัฐอเมริกา: สินค้าอาหารและยาส่วนใหญ่ ต้องได้รับการรับรองจาก FDA (Food and Drug Administration) ก่อนวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
6. ศึกษาขั้นตอนในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะใช้บริการของบริษัทส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศในการดำเนินการต่างๆ แต่การเข้าใจถึงลำดับขั้นตอนในการส่งออกสินค้าถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยขั้นตอนหลักๆ ของการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ประกอบไปด้วย
6.1 ขั้นตอนที่ 1: การจดทะเบียนเป็นผู้ส่งออก
-
สมัครสมาชิกและลงทะเบียนเป็นผู้ส่งออกกับกรมศุลกากร
-
ขอรหัสผู้ส่งออก (Exporter Code) จากกรมศุลกากร
6.2 ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมเอกสารการส่งออก
-
จัดทำ Commercial Invoice และ Packing List ของสินค้าที่จะส่งออก
-
ขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า เฉพาะกรณีที่ต้องการยื่นเพื่อลดหย่อนภาษีตามข้อตกลงทางการค้า
-
จัดทำใบรับรองมาตรฐานสินค้า (หากจำเป็น)
-
เตรียมใบอนุญาตส่งออกพิเศษ (สำหรับสินค้าควบคุม)
-
เตรียมสินค้าให้พร้อมสำหรับการขนส่ง
6.3 ขั้นตอนที่ 3: การยื่นใบขนสินค้าขาออก
-
กรอกข้อมูลใบขนสินค้าขาออกในระบบ EDI ของกรมศุลกากร
-
แนบเอกสารประกอบทั้งหมด
-
ชำระค่าธรรมเนียมศุลกากร และรอการอนุมัติจากระบบ
6.4 ขั้นตอนที่ 4: การดำเนินพิธีการศุลกากร
-
ตรวจสอบสถานะการพิจารณา (Green Line/ยกเว้นการตรวจ หรือ Red Line/ต้องผ่านการตรวจ)
-
หากต้องผ่านการตรวจ สินค้าจะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าตามข้อมูลที่ยื่นมาหรือไม้
-
รับใบขนสินค้าขาออกที่ผ่านการตรวจและได้รับอนุญาตให้ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
6.5 ขั้นตอนที่ 5: การจัดส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทาง
-
ส่งมอบสินค้าให้บริษัทขนส่งระหว่างประเทศ
-
บริษัทขนส่งทำการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
-
ผู้ประกอบการติดตามสถานะการขนส่งจากบริษัทขนส่ง
-
ผู้ส่งออกหรือบริษัทขนส่งประสานงานกับผู้นำเข้าที่ประเทศปลายทาง เพื่อเตรียมนำเข้าสินค้า
-
ดำเนินการเรียกเก็บเงินตามเงื่อนไขการค้าที่ตกลงไว้
7. เลือกวิธีการขนส่งสินค้าที่เหมาะสม
การเลือกช่องทางการขนส่งของการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากมีผลทั้งกับระยะเวลาการ และต้นทุนในการส่ง โดยวิธีการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ จะมีด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ได้แก่
7.1 การขนส่งทางบก
เป็นการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศด้วยรถยนต์หรือรถไฟ ใช้เวลาในการขนส่งตั้งแต่หลักวัน จนถึงหลักสัปดาห์
ข้อดี
-
เหมาะสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านและประเทศใกล้เคียง
-
ต้นทุนการส่งต่ำ
ข้อควรระวัง
-
ไม่เหมาะสำหรับการส่งไปยังประเทศที่อยู่ไกลออกไป
-
ไม่สามารถส่งไปยังประเทศที่ไม่มีการเชื่อมต่อทางบกได้
-
การขนส่งอาจติดขัดจากการปิดชายแดน หรือปัญหาการจราจรต่างๆ
7.2 การขนส่งทางทะเล
เป็นการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศด้วยเรือ ใช้ระยะเวลาในการส่งค่อนข้างนาน ตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป
ข้อดี
-
เหมาะสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ หรือมีน้ำหนักมาก
-
สามารถส่งไปยังประเทศที่อยู่ไกลออกไปได้
ข้อควรระวัง
-
ประเทศปลายทางต้องมีท่าเรือ
-
ใช้เวลาในการขนส่งนาน
-
อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ
7.3 การขนส่งทางอากาศ
เป็นการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศด้วยเครื่องบิน ใช้ระยะเวลาในการส่งเร็วที่สุดเพียง 3-7 วัน และมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีการขนส่งทั้งหมด
ข้อดี
-
เหมาะสำหรับสินค้ามูลค่าสูง สินค้าที่เน่าเสียง่าย หรือสินค้าเร่งด่วน
-
ใช้ระยะเวลาในการส่งเร็วที่สุด
-
มีความปลอดภัยสูง เสี่ยงต่อการโจรกรรมน้อยที่สุด
ข้อควรระวัง
-
มีค่าใช้จ่ายในการส่งที่สูง
-
จำกัดขนาดและน้ำหนักในการส่ง
-
ต้องมีท่าอากาศยานปลายทาง
8. เลือกบริษัทขนส่งต่างประเทศที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
บริษัทขนส่งต่างประเทศ ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการส่งสินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย ผู้ประกอบการจึงไม่ควรละเลยการคัดเลือกบริษัทที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทส่งออกสินค้าไปต่างประเทศดังกล่าวควรมีความเชี่ยวชาญและชำนาญในกระบวนการนำเข้า-ส่งออกของประเทศปลายทาง พร้อมมีบริการเสริมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่ง เช่น
-
บริการเดินพิธีการศุลกากรขาออก
-
ระบบติดตามพัสดุ
-
การรับประกันความเสียหายหรือสิ่งของสูญหายขณะขนส่ง
-
มีบริการก่อนและหลังการขายคอยตอบคำถาม และช่วยเหลือในกรณีเกิดปัญหา
การเริ่มต้นส่งออกสินค้าไปต่างประเทศอาจดูเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและการ เตรียมความพร้อมรอบด้าน ตั้งแต่การศึกษาตลาด การจัดเตรียมเอกสาร ช่องทางการขาย และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้การส่งออกของคุณประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้การส่งออกราบรื่นคือการเลือกพาร์ทเนอร์ด้านการขนส่งที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ
เลือก FBA Easy พาร์ทเนอร์ที่ใช่ สำหรับการส่งของไปต่างประเทศ
FBA Easy คือ บริษัทขนส่งต่างประเทศที่ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเอกสาร ส่งพัสดุไปต่างประเทศ และจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศครอบคลุมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นส่งของไปอเมริกา ยุโรป หรือเอเชีย พร้อมทางเลือกการขนส่งที่หลากหลายทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล ผ่านความร่วมมือกับบริษัทขนส่งชั้นนำกว่า 10 ราย รวมถึงมีบริการ Amazon FBA การจัดส่งสินค้าไปยังคลังสินค้าของ Amazon ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และเยอรมัน FBA Easy ตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องส่งของไปต่างประเทศ
ติดต่อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
LINE: @kartonexpress
Email: admin@karton.express
Facebook: www.facebook.com/fbaeasy